ศึกกิมจิ LED TV นรกแตก !!! รีวิว LG LE5500 VS Samsung C6200 ตัวต่อตัว

Posted: กันยายน 30, 2010 in Uncategorized

ศึกแดงเดือดระหว่าง “แมนยู” VS “ลิเวอร์พูล” ว่าระทึกใจแล้ว !!! วันนี้นายโรมันขอเสนอสิ่งที่เร้าใจกว่าคือแมตช์การปะทะตัวต่อตัวในศึกกิมจิ LED TV นรกแตก !!! LG LED TV รุ่น LE5500 เจอตัวต่อตัวกับ Samsung C6200 ซึ่งด้วยระดับราคาและรูปทรงการดีไซน์แล้ว ทำให้หลายๆท่านยังเกิดอาการหวั่นไหวอยู่ว่าจะเลือกตัวไหนดี ทางเราเลยจับมาตั้งเจอกันตัวต่อตัวซะเลย ให้รู้ดำรู้แดงไปเลยว่าใครแน่กว่าใรครับ

            
การประชันกันในศึกกิมจิ LED TV นรกแตกระหว่าง Samsung VS LG 

กติกา: เพื่อให้แฟร์กับทั้ง 2 Brand นะครับผมใช้ HD Player อย่าง Dvico, Mede8er ในการเล่น Content นะครับ และใช้เครี่อง PlayStation 3 ในการทดสอบเกมส์และแผ่น Blu-ray ครับ โดยต่อผ่าน HDMI Splitter และใช้ HDMI ของ LCDTVTHAILAND เองความยาวเท่ากันคือ 2 เมตร เพื่อให้ตัวแปรเรื่อง Input นั้นแม่นยำและเป็นกลางอย่างแท้จริงครับ !!! 

ยก
เกณฑ์การตัดสิน
1
ดีไซน์
2
ความดำ+การคุม Backlight
3
สีสัน
4
การแสดงภาพในที่มืด
5
สัญญาณ True Vision
6
เกมส์ PS3
7
เสียง
8
การประหยัดไฟ
9
ช่องต่อ
10
ลูกเล่น
11
ขนาดจอ
12
ราคาและความคุ้มค่า

มาดูสเป็คเทียบกันตัวต่อตัวเรียกน้ำย่อยกันก่อนครับ เปรียบเป็นมวยเนี่ยคือพวก “น้ำหนักตัว” “ช่วงชก” “ส่วนสูง” ได้เลยนะเนี่ย !!

Brand
Samsung
LG
Model
40C6200
42LE5500
Size
40″
42″
Resolution
1920 x 1080
1920 x 1080
Video Processor
Hyper Real Engine
Dual XD Engine
Contrast
4,000,000:1
5,000,000:1
Refresh Rate
Motion Plus 100Hz/120Hz
TruMotion 100Hz/120Hz
Panel
Ultra Clear Panel
S-IPS Hard Panel
Picture Sensor
Eco Sensor
Intelligent Sensor
HDMI
4
4
USB
2
2
Internet
No
NetCast
Media
No
Game
Bluetooth
No
Yes
PIP
Yes
No
Design
Crystal Design
INF)NIA
Price
49,990
49,990

ยกที่ 1 :ดีไซน์
ซ้ายมือถือ Samsung C6200 นะครับ ส่วนขวามือคือ LG LE5500 กรอบของ Samsung เป็น Crystal Design แบบ Graphite พร้อมขาตั้งแบบ Quadlegged Stand ส่วน LG มาแบบกรอบสีดำเงา มีขลิปไล่เฉดสีแดงตามกรอบทีวี เด่นที่โลโก้ LG เรืองแสงได้ ทั้งคู่มีปุ่มกดแบบสัมผัสและขาตั้งสามารถปรับหมุนซ้ายขวาได้ทั้งคู่ครับ

 
ตั้งประชันกันแล้ว SAmsung 40C6200 อยู่ด้านซ้าย และ LG 42LE5500 อยู่ด้านขวา


Samsung Crystal Design และ LG มีไฟสีขาวเรืองแสงตรงโลโก้


Samsung เป็นรีโมททรงดำเรืองแสงได้ ของ LG เป็น Glossy Black ดูหรูหรากว่าแต่เรืองแสงไม่ได้

คะแนนยกที่ 1 : ดีไซน์
โดยรวมแล้วกรรมการยกให้ Crystal Design ที่ดูแล้วมีความหรูหรากว่ากรอบสีดำ Glossy Black ของ LG ครับ และก็มาเฉือนอีกนิดนึงที่รีโมทคอนโทรลที่มีไฟ Backlight เรืองแสงได้
LG = 7.5
Samsung = 8

 

__________________________

ทดสอบภาพ

สำหรับการเปรียบเทียบเรื่องภาพนั้น ทางทีมงานจะ Based การตั้งค่าภาพไว้ที่โหมด Standard ซึ่งเป็นโหมดที่เหมาะสมในการดูแบบทั่วไปที่สุดครับ มาดูกันวิว่าโรงงานเซ็ตภาพแบบไหนมาให้คนทั่วไปได้รับชมกัน ไม่มีการปรับค่าภาพให้ตัวใดตัวหนึ่งให้แปลกพิสดารแหวกแนวใดๆทั้งสิ้น (รูปถ่ายอาจมีสีแสงผิดเพี้ยนไปบ้าง ลองดูพร้อมคำอธิบายนะครับ)

โหมดภาพที่ใช้ทดสอบคือโหมด Standard จากโรงงานเหมือนกันครับ  


หน้าตาเมนู Sanmsung เป็นแบบ Text + Icon ส่วน LG จะเน้นเป็นรูป Icon ใหญ่แบบพวกมือถือ 

__________________________

ยกที่ 2: ทดสอบความดำและการคุม Backlight (Black Level & Backlight Control)
เริ่มยกที่สอง ผมเปิด Content หากินของผมซึ่งก็คือ “พระจันทร์ในคืนมืด” ของ Pioneer ซึ่งจะวัดระดับสีดำและการคุม backlight ให้เห็นกันจะจะ เป็น Content ปราบเซียนมานักต่อนัก !!! Samsung ใช้ Ultra Clear Panel จึงทำให้ความดำนั้นดูดำลึกกว่า ส่วนการคุมแสงไฟ Edge LED ก็ทำได้ดีเช่นกัน คือรั่วน้อย แต่รั่วแบบทั่วถึงทำให้ดูแล้วเนียนตา 

ในขณะที่ LG LE5500 นั้นใช้จอ LCD แบบจอด้าน ทำให้ดูดำลึกน้อยกว่า แต่แลกมากับการป้องกันแสงสะท้อนได้ดีเยี่ยมมากครับ ส่วน Edge LED ของ LG นั้นสามารถทำ Local Dimming ได้ แนะนำให้เปิด On ไว้ตลอด แต่การ Dim ของ Edge LED ก็ไม่ได้เทพเท่า Full LED อยู่ดี การรั่วของ Backlight เลยเป็นหย่อม อย่างในรูปก็จะรั่วบริเวณขอบบนและขอบล่างของพระจันทร์เพราะมันเล่นเปิดหลอดไฟแต่บริเวนั้นเพื่อส่องไฟไปเลี้ยงให้พระจันทร์สว่าง ในขณะที่ขอบด้านซ้ายและขวานั้นสามารถทำได้มืดสนิทครับ 


ทดสอบความดำ Samsung ใช้จอ Ultra Clear Panel คุมแสงดีมาก ดำลึกกว่า ส่วน LG เป็นจอ S-IPS แบบจอด้าน เป็น Edge LED มีความสามารถในการทดำ Local Dimming แต่ก็ยังเห็น Leakage ได้มากกว่า


อีกซักรูปทดสอบความดำใช้ Demo Content ของ Sony ซะเลย (จะได้เป็นกลาง) 
ชอบแบบไหน จอกระจกอาบมัน ดำลึกแต่สะท้อน VS จอด้าน ดำน้อยกว่าแต่ไม่สะท้อน 


อีกซักฉากกับจอ Ultra Clear Panel แบบดำเงา VS จอ S-IPS แบบดำด้าน
 

คะแนนยกที่ 2: ความดำและการคุม Backlight
Samsung = 8
LG = 7.5
ยกที่ 3: สีสัน (Color)
สำหรับ LED TV นั้น เป็นอันที่รู้กันว่าสีสันจะจัดจ้านกว่าพวก LCD TV ทั่วไปครับ และเรามาดูความสามารถในการแสดงสีของทั้ง 2 ตัวกันเลย 

ทดสอบ White Balance โหมด Standard เหมือนกัน Samsung จะออกอมแดง
และ LG จะออกอมเหลือง คือแอบเพี้ยนทั้งคู่ (ดูใบหน้าและสีขาวข้างหลังได้)


สีของ Samsung จะออกแนว “เข้มข้นลึก” ของ LG จะเน้น “สว่างแห้ง”


Samsung เด่นที่สีแดง ดูจากใบหน้าได้ ส่วน LG ใบหน้าจะเด่นออกอมเหลือง
วิธีแก้สามารถไปปรับ White Balance ลดสีที่โอเว่อร์ลงมาได้ครับ


อีกซักรูปเลย ดูใบหน้าได้ นึกว่าใบหน้าของคมผิวสีดำออก “อมแดง” และ “อมเหลือง”
รวมถึงเฉดสีน้ำเงินที่เป็นเสื้อแขวนอยู่ด้านหลัง ก็ต่างครับ

มาดูการเทสต์สีแบบ RGB Red Green Blue กันดีกว่าครับ 
ว่าแม่สีของทีวีแต่ละเครื่องจะแสดงออกมาแนวไหน


Samsung ออกแดงเข้ม LG ออกแดงสว่าง


Samsung ออกฟ้าเข้ม LG ฟ้าสว่างอมเหลืองเล็กน้อย (ไม่ใช่ฟ้าเหลืองนะ)


ใบหน้ายังเป็นเอกลักษณ์ครับ Samsung ใบหน้านักเทนนิสจะออกอมแดง ส่วนเสื้อสีเขียวก็เป็นโทนเข้มข้น
ส่วน LG ใบหน้าก็จะอมเหลือง เสื้อก็จะออกโทนสีเขียวอ่อนกว่าเล็กน้อย
 

คะแนนยก 3: เรื่องสีสัน (Color)
ตัดสินลำบากจริงๆ เพราะผมว่าดีคนละแบบ แต่กรรมการเห็นว่าความเข้มข้นของสีของและความอิ่ม (Saturation) เวลาแสดงภาพของ Samsung C6200 มีมากกว่า  เหมือนเป็น Maximum ที่ถ้ามาขุดใช่้จริงเป็นประโยชน์มากเช่นตอนดู  TrueVision เลยเฉือนคะแนนไปนิดหน่อยครับ
Samsung = 8
LG = 7
__________________________

 

ยกที่ 4: การแสดงรายละเอียดในที่มืด
แน่อนว่าหากใครชอบดุหนังมืดแล้ว บางทีสีดำหรือรายละเอียดจมหายลงไปในที่มืดเนี่ย คงไม่สบอารมณ์แน่ๆ Samsung ให้สีดำดำลึกก็จริง แต่เรื่องความดำของภาพนั้นเหมือน “ดาบ 2 คม” จะทำให้การแสดงภาพในที่มืดนั้นดำจมลงไปด้วย (Case เดียวกับ V20 และ X20 ของ Panasonic) ในขณะที่ LG ที่หน้าจอเป็นจอ “ดำด้าน” และ Edge LED สามารถทำ Local Dimming ได้ ทำให้เวลาเจอฉากมืดๆ LG ยังคงสามารถแสดงรายละเอียดออกมาได้ดีอยู่ครับ

 


ฉากทดสอบ Dynamic Contrast ด้วยรายละเอียดบริเวณหูซ้ายของคุณลุงบรูซ วิลลิส


ฉากในถ้ำมืดของเรื่อง Apocalypto


Samsung สีอิ่มกว่าก็จริง แต่เจอฉากดำบางทีความดำความเข้มมันก็ทำให้ “ดำจม” ได้
ส่วน LG ภาพออกแนวสว่างไบรท์อยู่แล้ว ไม่ค่อยมีปัญหา


บริเวณปากมุมขวาล่างของพระเอก Jake Sully ของ Samsung ดำจมลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ส่วน LG แสดงรายละเอียดออกมาได้ครบหมด 


อีกซักรูปที่ Panel S-IPS ของ LG สามารถแสดงรายละเอียดภาพในที่มืดได้ดีกว่า


Samsung Ultra Clear VS LG S-IPS Panel

คะแนนยกที่ 4: การแสดงรายละเอียดในที่มืด
จริงๆแล้ว samsung ก็สามารถแสดงรายละเอียดในที่มืดใช้ได้นะครับ แต่จอ LCD แบบจอด้านอย่าง S-IPS ก็ทำได้ดีกว่า ทำให้ยกนี้ LG เป็นฝ่ายเฉือนกลับไปบ้าง
Samsung = 7.5
LG = 8
ยกที่ 5: ทดสอบ TrueVision
สำหรับการดู TrueVision ในโหมด Standard ผมฟันธงให้ดังนี่ว่า Samsung สามารถให้คุณภาพของภาพได้ดีกว่า คือ “สีสันดูอิ่ม” และ “โมเสกแทบไม่มีเลย” ในขณะที่ LG LE5500 คุณภาพของภาพก็ใช้ได้เช่นกัน แต่ความคมชัดอาจจะยังสู้ Samsung C6200 ไม่ได้ครับ ในที่นี่ใครมี Samsung C6200 น่าจะเห็นคล้ายๆกับผมว่าภาพมันดูอิ่มเหมือนดูจาก DVD ที่มีคุณภาพดียังไงยังงั้นเลย !!!

คะแนนยกที่ 5: ทดสอบ TrueVision
Samsung = 8.25
LG = 7

__________________________

ยกที่ 6: ทดสอบกับเกมส์ PS3
ผมเชื่อว่าหลายๆท่านซื้อ LED TV มีจุดประสงค์นอกจากดูทีวีดูหนังแล้ว ก็เอาไว้เล่นเกมส์นี่แหละครับ ผมทดสอบง่ายๆเลย โดยการต่อ PS3 ผ่าน HDMI Spiltter เข้าสู่ทีวีทั้ง 2 ตัว และเปิดเป็น “Game Mode” ทั้งคู่ โดย Game Mode ของ LG นั้น “หาง่ายกว่า” เพียงแค่กดปุ่ม AV Mode ไล่ไปเรื่อยๆครับ จะเป็นโหมดภาพ Cinema / Sports / “Game” ส่วนของ Samsung นั้นต้องลงไป “ล้วงในเมนูลึก” ซึ่งจุดประสงค์ของ Game Mode นั้นเท่าที่ผมดูแล้วก็คล้ายๆกัน คือจะปรับ “สีสันให้สดใส แต่ไม่สว่างจนแสบตา” เมื่อนั่งใกล้ๆจอ และจำทำการ Bypass พวกเมนูปรุงแต่งภาพเช่น TruMotion หรือ Motion Plus ให้เป็น Off ทั้งหมด เพื่อป้องกัน Input Lag ครับ ผมการทดสอบคือการเคลื่อนไหวของภาพก็สูสีกัน ไม่มี Input Lag แต่อย่างใด ผมนั่งเล่นแบบดู 2 จอไปเลย โทนสีก็ดีคนละแบบครับ 


อาการอมแดงของ Samsung และ อมเหลืองของ LG ยังตามมาหลอกหลอนเรา
ไม่เว้นแม้กระทั่งในเกมส์ Steeet Figther 4 !!!


เริ่มแล้วครับการ Bypass เมนูการปรุงแต่งภาพช่วยไม่ให้มีภาพ Delay เกิดขึ้น


ทั้ง 2 จอแสดงพร้อมกันเป๊ะ กดปุ่ม “ต่อย” ก็แสดงพร้อมกันเป๊ะ !!!
เงื่อนไขคือ HDMI ของ LCDVTHAILAND ความยาว 2 เมตรทั้งคู่ครับ


เลยเล่นกันเพลินไปเลย Street Fightner เหมาะกับการ test Input lag อย่างยิ่ง 
เพราะมันเป็นเกมส์ที่ป้อนคำสั่ง (กดปุ่ม) และต้องการการตอบสนองแบบ Real Time จริงๆ


โทนสี ดูกันเอาเอง เข้มข้นก็ Samsung ถ้าสว่างใสก็ LG

คะแนนยกที่ 6: ความสามารถในการเล่นเกมส์ (Gaming: PS3)
ผมให้เสมอกันครับยกนี้ คือโหมดเกมส์ทำหน้าที่ไม่มีผิดพลาดทั้งคู่ อาการ Input lag หรือ ภาพ Delay ก็ไม่มีให้เห็นครับ ภาพเคลื่อนไหวก็ลื่นไหลสูสีกันทั้งคู่ จัดได้ว่า LED TV ในตลาดตอนนี้ตัวไหนไม่มี Game Mode เนี่ยเชยระเบิดไปเลย !!!
Samsung = 8
LG = 8

__________________________



ยกที่ 7: เสียง (Sound)
สำหรับเสียงทั้งคู่ออกแบบมาคล้ายๆกันครับ คือ เป็นลำโพงแบบยิงลิงล่างทั้งคู่ กำลังขับคือ 10 Watts + 10 Watts ส่วนระบบเสียง Surround ของ Samsung เรียกว่า SRSTruSurround HD ของ LG เรียกว่า Infinite Sound คุณสมบัติคล้ายๆกันครับ คือให้เสียงโอบล้อมมีมิติเหมือนกัน (แต่ผมไม่เคยเปิด) ส่วนลูกเล่นอย่าง ช่องต่อ Optical Out  เพื่อเอาเสียงไปออก AV Reciever หรือ Home Theater ก้มีเหมือนกันครับ ลองฟังดุแล้ว LG จะออกโทนแห้ง นิ่งๆเรื่อย (Flat Tone) ของ ของ Samsung ออกแนวบาดหูเล็กๆตามสูตร ยังดีมี Woofer อยู่ข้างหลังช่วยให้เสียงมีน้ำหนักขึ้นมาหน่อย !!!


หน้าตาเมนูเสียงของ Samsung และ LG

คะแนนยกที่ 7: เสียง (Sound)
ยกนี้คุณ Luffy ช่วยฟัง+ฟันธงให้ครับ Samsung เสียงมี Dynamic และหนักแน่นกว่านิดหน่อยเลยเฉือนไป
Samsung = 7.25
LG = 7

__________________________

ยกที่ 8: การประหยัดไฟ (Energy Saving)
คงต้องบอกก่อนว่าขนาดจอของ LG ใหญ่กว่า 2″ คิดเป็นพื้นที่คือ 12% กลังเครื่องระบุว่า LG 42LE5500 ทานไฟแบบ Full On (max) ที่ 150 Watts ส่วน Samsung 40″ ทานไฟที่ 140 Watts แล้วผมใช้โหมดประหยัดพลังงาน+เอาเครื่องวัดการกินไฟ Power Consumption Meter ลองวัดไฟดู การกินไฟก็ในที่ Mode จะถัวๆลงมาพอๆกันครับ !!!

คะแนนยกที่ 8: ประหยัดไฟ (Energy Saving)
ทั้งคู่มีความสามารถในการประหยัดไฟได้ดีพอๆกันครับ ถ้าเป็น LG แนะนำให้เปิด LED Local Dimming ไว้ด้วยจะช่วยให้ประหยัดไฟขึ้นได้อีกนิดหน่อย
Samsung = 8
LG = 8

 ยกที่ 9: ช่องต่อ (Connectivity)
สำหรับช่องต่อนั้น พวก HDMI 4 ช่อง, USB 2 ช่องที่เล่นไฟลืหนัง Hidef ได้, Optical Out และก็มีอื่นๆที่ค่อนข้างคล้ายกันครับ แต่ที่ผมเน้นก็คือช่องต่อของ LG นั้นมีการวาง Layout ที่ทำให้เสียบสายสัญญาณได้ง่ายกว่า ไม่ว่าจะตั้งโต๊ะหรือแขวนผนัง (มีชุดสาย Apaptor มากให้) ในขณะที่ Samsung ถ้าจะต่อ Component หรือ AV ต้องใช้ Adaptor อย่างเดียวเลยเท่านั้นครับ ทำให้ยกนี้ LG เฉือนไปเพราะ User Friendly และจำนวนช่องต่อเช่น Component และ AV ที่มากกว่า

Samsung ช่องต่อด้านหลังเป็นแบบเสียบจากล่างขึ้นบน 
มีช่องต่อ AV และ Component ที่ต้องใช้ Adaptor 
ในขณะที่ของ LG มีช่องต่อมาตรึม เป็นแบบเสียบเข้าจากด้านหลังปกติ
 

HDMI Samsung ไปอัดกระจุกกันที่ด้านข้าง 4 Ports  และ USB 2 Ports
ในขณะที่ LG ด้านข้างมีช่องต่อ HDMI ให้มา 1 ช่อง
และมีช่องต่อที่สามารถใช้สาย Adaptor AV และ Component เชื่อมต่อเวลาแขวนได้


สาย AV และ Component Adaptor แถมมาทั้งคู่ทั้ง LG และ Samsung

คะแนนยกที่ 9: ช่องต่อ (Connectivity)
ช่องต่อ LG ให้มาเยอะกว่านิดหน่อย แถม AV และ Component มีแบบทั้ง ไม่ใช้ Adaptor และ ใช้ Adaptor ซึ่งสะดวกต่อการใช้งานมากกว่าจริงๆ จึงทำให้ยกนี้ LG เฉือนชนะไปอย่างเป็นเอกฉันท์
Samsung = 7.5
LG = 8

__________________________

ยกที่ 10: ลูกเล่น (Extra)
มาถึงยกที่ 10 แล้วครับ LG ยกนี้ชิงความได้เปรียบเพราะมีฟังก์ชั่น NestCast เล่นเว็บอย่าง YouTube, Picasa, Accuweather ได้ ในขณะที่ Samsung ไม่มี รวมถึงฟังก์ชั่น Bluetooth ที่เป็นอีกลูกเล่นของ LG ด้วยครับ ส่งภาพและเพลงไปแสดงบนจอทีวีได้เลย ในขณะที่ Samsung มีทีเด็ดแค่อย่างเดียวคือ PIP หรือ Pictire in Picture ฟังก์ชั่นภาพซ้อนภาพนั่นเอง เลยโดน LG รุมกินโต๊ะซะเกลี้ยงเลย !!!


Samsung มี PIP ภาพซ้อนภาพครับ


LG รุมกินโต๊ะด้วย “เกมส์” / “Bluetooth” / NetCast ของเล่นมาตรึม !!!
ใครชอบทีวีที่ลูกเล่นเยอะๆ LG ไม่มีผิดหวัง
 
คะแนนยกที่ 10: ลูกเล่น (Extra)
ยกนี้ LG รุมกินโต๊ะด้วยลูกเล่นที่กระหน่ำให้มาอย่างไม่ยั้งครับ นี่ยังไม่นับ Wireless AV Link ที่เป็น Brand เดียวที่มีเทคโนโลยีนี้นะเนี่ย แต่เพราะอุปกรณ์เสริมยังไม่เข้ามาขายไนไทยเลยไม่เคยทดสอบครับ อย่างไรก็ตามยกนี้ LG เฉือนไป “ลูกครึ่ง” ชนะไปแบบขาดลอย
Samsung = 7
LG = 8.5
 
__________________________
ยกที่ 11: ขนาดของจอ (Size)
แน่นอนครับว่า Samsung นั้นมีแต่ขนาด 40″ เท่านั้น ในขณะที่ LG ทำมาเป็น 42″ ทั้งหมด ตัวเลขอาจจะดูห่างกันเล็กน้อย “ก็แค่ 2 นิ้ว” แต่พอเทียบเป็นพื้นที่จริงๆก็ประมาณ “12%” เลยทีเดียวเชียว ลองดูภาพด้านล่างเปรียบเทียบได้ว่า “ความใหญ่ของจอ” นั้นทำให้ภาพ “ใหญ่สะใจขึ้นจริงๆ” และมันเป็นปัจจัยหลักที่กลุ่มลูกค้าคนไทยเราชอบมากครับ (สังเกตุ Plasma TV 50″ ขายดีมาก) ราคา 40″ และ 42″ ก็พอๆกันครับเลยจำเป็นต้องเอามาเป็นปัจจัยเปรียบเทียบกันในครั้งนี้ครับ
 

40″ ของ Samsung VS 42″ ของ LG

คะแนนยกที่ 11: ขนาดของจอ (Size)
ราคาเท่ากันแต่ได้จอใหญ่กว่าถึง 12% ทำให้ LG เฉือนไปอย่างหวุดหวิดครับในยกนี้
Samsung = 7
LG = 8
 

__________________________

 

ยกที่ 12:  ราคาและความคุ้มค่า (Price & Value)
LED TV ทั้ง 2 ตัวนี้มีราคาเท่ากันคือ 49,990 บาท ส่วนท่านไหนหาราคาจากร้านค้าในนี้ได้ถูกกว่านี้ก็ลองสืบดุเอาเองครับ คำถามคือ “ตัวไหนคุ้มกว่ากัน?” ผมสรุปว่า “คุ้มทั้งคู่ครับ” แต่คุ้มกันคนละแบบ ดูจากข้อดีข้อเสียที่เปรียบเทียบกันในยกก่อนๆ หากจะเน้น “ภาพเป็นหลักทั้ง HD & SD” ผมว่า Samsung ภาพดีกว่าตอบโจทย์ในจุดนี้ได้ครับ แต่หากต้องการ “จอใหญ่กว่า” และ “ลูกเล่น+การเชื่อมต่อ”ให้มาเต็มเปี่ยมก็เลือก LG ครับ ดังนี้หากพูดถึงเรื่อง “ความคุ้มค่า” นั้นผมให้เสมอกันครับ

              
การประชันกันในศึกกิมจิ LED TV นรกแตกระหว่าง Samsung VS LG 

 

คะแนนยกที่ 12: ราคาและความคุ้มค่า (Price & Value)
Samsung = 8
LG = 8

ใส่ความเห็น